วันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ ที่เมืองเคมบริดจ์ มลรัฐแมสซาซูเสตต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ทารกน้อยสายพระโลหิตแห่งราชวงศ์ไทยถือกำเนิดเกิดมาในโลก เมื่อเจริญพระชันษาและบรรลุนิติภาวะแล้ว “สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอุดลยเดช” ทรงมีสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์ตามกฎมนเทียรบาล ปีพุทธศักราช ๒๔๖๗ และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสยามประเทศหรือประเทศไทยในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ นับเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่สืบราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ทรงพระนามว่า
“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร”
พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ แห่งราชจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ทรงประกาศพระบรมราชโองการในฐานประมุขบุคคลสำคัญพิเศษสุดของชาติไทยความว่า
“เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม”
ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ มีฝ่ายบริหารประเทศและคณะรัฐมนตรี มีนายกรัฐมนตรีมาแล้วหลายๆ สมัย แต่เราก็ยังมีพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ เป็นองค์พระประมุขอย่างมั่นคงเรื่อยมาจนถึงวันที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสร็จสวรรคต ท่ามกลางความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเมื่อพระองค์มีพระชนมายุ ๘๙ พรรษา และทรงครองสิริราชสมบัติมายาวนานถึง ๗๐ ปี นับเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก
“ตามรอยพระบาทราชาโพธิสัตวธรรม” รวบรวมและเรียบเรียงโดย “วรทัศน์ วัชรวสี” นักเขียนสารคดีประจำของสำนักพิมพ์ ได้ใช้เวลาศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เพื่อให้เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์สำหรับเยาวชน นักศึกษา ประชาชนผู้จงรักภักดี และพร้อมจะเปลี่ยนคราบน้ำตาให้เป็นพลังแห่งการเรียนรู้พระอัจฉริยภาพ พระราชกรณียกิจแห่งการให้และรักผู้อื่น เพื่อเจริญรอยตามพระบาทของพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙
นักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งหลายต่างประกาศเทิดทูนพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชว่า “ทรงเป็นยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์” ในขณะที่พระผู้ปฎิบัติดีปฏิบัติชอบต่างมองดู ๗๐ ปีแห่งพระราชจริยวัตรของพระองค์ว่า “พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้คือพระโพธิสัตว์” ตามรอยพระบาทราชาโพธิสัตวธรรม ที่ถืออยู่ในมือของท่านทั้งหลายกำลังจะบอกว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ คือปรากฏการณ์กฤษดาภินิหารแห่งราชจักรีวงศ์ ของกรุงรัตนโกสินทร์”