หลังเที่ยงคืน
ISBN: 9786163823618
ผู้แต่ง : จำลอง ฝั่งชลจิตร
ผู้แปล : -
สำนักพิมพ์ : แมวบ้าน
ปีที่พิมพ์ : 2558
จำนวนหน้า : 223
หล่อนเดินโผเผไปตามถนนมืดสลัว สายตาพร่าด้วยน้ำตายังนองล้น หล่อนร้องไห้ แต่ไม่ได้ร้องไห้ให้กับชะตากรรมของเขา หล่อนร้องไห้ให้กับชะตากรรมตัวเอง
หนูผีผอมโซเนื้อหนังสกปรกวิ่งเลียบทางเท้า มันหนีงุ่นง่านลุกลี้ลุกลน ท่าทางหวาดกลัว ส่วยจมูกเห็นเรียวหนวดไหวไปมา หาทางลงท่อระบายน้ำ ส่งเสียงร้องจี๊ดๆ แทนที่จะได้ยินเป็นเสียงหนู หล่อนกลับได้ยินเป็นเสียงหวีดร้องด้วยความตกอกตกใจของลูกๆ ที่สะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก หัวใจสะท้านเยือก เย็นวูบ หล่อนรีบจ้ำอ้าว
เสียงเครื่องหนังตะลุงแว่วมาจากงานสวนสนุก บทกลอนที่นายหนังขับเพราะพริ้ง กระดิ่งสามล้อระรัวก้องมากับสายลมเย็นยามดึก ไทยยามย่ำแผ่นเหล็กบอกเวลาสี่ครั้ง หล่อนชิงชังเสียงย่ำแผ่นเหล็กยิ่งนัก จึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ปากซอยอยู่ไกลออกไปไม่เกินร้อยก้าว หล่อนอ่อนระโหยจวนสิ้นเรี่ยวแรง เลือดยังชุ่มขากางเกง รองเท้า หลังเท้า ซอกนิ้วเท้ากับฝ่ามือเหนียวเหนอะ กลิ่นความเลือดทำเอาหล่อนแทบอาเจียน
สามล้อค้นหนึ่งชะลอเทียบ คนขี่คุ้นๆ หน้าถาม “เรื่องมันเป็นยังไง”
กำไลเหมือนไม่ได้ยินเสียงถามนั้น ไทยยามย่ำแผ่นเหล็กตามหลังมาติดๆ ไอ้ตัวนั้นอยู่หลังโรงหนังที่หล่อนเพิ่งผ่านมาเมื่อครู่ มันคงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว หล่อนวิ่งข้ามถนนด้วยเรี่ยวแรงที่รวบรวมได้เป็นครั้งสุดท้ายตรงดิ่งเข้าซอย หยุดหอบจนตัวโยน โสตประสาทพลันแว่วเสียงเพลงท่อนเดียวที่โปรยร้องประจำ หล่อนส่ายศรีษะแล้วยกมือขึ้นปิดหน้า สะอื้นฮักๆ “ลูก...ลูก” หล่อนรำพันได้แค่นั้นแล้วหน้ามืดขึ้นทันใด ซอยทั้งซอยส่ายไปส่ายมาคล้ายงูเลื้อย พร้อมแว่วเสียงเหมือนโปรยตะโกนเรียก
ก่อนล้มฟุบสลบลงกลางซอย หล่อนได้เห็นความมืดที่มืดที่สุดของช่วงเวลาหลังเที่ยงคืน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนแก่เฒ่าเคยว่าเอาไว้ ก่อนสว่างจะมีเวลาช่วงหนึ่งที่มืดมิดที่สุด
บัดนี้ กำไลได้เห็นช่วงเวลานั้นแล้ว....
หล่อนเดินโผเผไปตามถนนมืดสลัว สายตาพร่าด้วยน้ำตายังนองล้น หล่อนร้องไห้ แต่ไม่ได้ร้องไห้ให้กับชะตากรรมของเขา หล่อนร้องไห้ให้กับชะตากรรมตัวเอง
หนูผีผอมโซเนื้อหนังสกปรกวิ่งเลียบทางเท้า มันหนีงุ่นง่านลุกลี้ลุกลน ท่าทางหวาดกลัว ส่วยจมูกเห็นเรียวหนวดไหวไปมา หาทางลงท่อระบายน้ำ ส่งเสียงร้องจี๊ดๆ แทนที่จะได้ยินเป็นเสียงหนู หล่อนกลับได้ยินเป็นเสียงหวีดร้องด้วยความตกอกตกใจของลูกๆ ที่สะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก หัวใจสะท้านเยือก เย็นวูบ หล่อนรีบจ้ำอ้าว
เสียงเครื่องหนังตะลุงแว่วมาจากงานสวนสนุก บทกลอนที่นายหนังขับเพราะพริ้ง กระดิ่งสามล้อระรัวก้องมากับสายลมเย็นยามดึก ไทยยามย่ำแผ่นเหล็กบอกเวลาสี่ครั้ง หล่อนชิงชังเสียงย่ำแผ่นเหล็กยิ่งนัก จึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ปากซอยอยู่ไกลออกไปไม่เกินร้อยก้าว หล่อนอ่อนระโหยจวนสิ้นเรี่ยวแรง เลือดยังชุ่มขากางเกง รองเท้า หลังเท้า ซอกนิ้วเท้ากับฝ่ามือเหนียวเหนอะ กลิ่นความเลือดทำเอาหล่อนแทบอาเจียน
สามล้อค้นหนึ่งชะลอเทียบ คนขี่คุ้นๆ หน้าถาม “เรื่องมันเป็นยังไง”
กำไลเหมือนไม่ได้ยินเสียงถามนั้น ไทยยามย่ำแผ่นเหล็กตามหลังมาติดๆ ไอ้ตัวนั้นอยู่หลังโรงหนังที่หล่อนเพิ่งผ่านมาเมื่อครู่ มันคงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว หล่อนวิ่งข้ามถนนด้วยเรี่ยวแรงที่รวบรวมได้เป็นครั้งสุดท้ายตรงดิ่งเข้าซอย หยุดหอบจนตัวโยน โสตประสาทพลันแว่วเสียงเพลงท่อนเดียวที่โปรยร้องประจำ หล่อนส่ายศรีษะแล้วยกมือขึ้นปิดหน้า สะอื้นฮักๆ “ลูก...ลูก” หล่อนรำพันได้แค่นั้นแล้วหน้ามืดขึ้นทันใด ซอยทั้งซอยส่ายไปส่ายมาคล้ายงูเลื้อย พร้อมแว่วเสียงเหมือนโปรยตะโกนเรียก
ก่อนล้มฟุบสลบลงกลางซอย หล่อนได้เห็นความมืดที่มืดที่สุดของช่วงเวลาหลังเที่ยงคืน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนแก่เฒ่าเคยว่าเอาไว้ ก่อนสว่างจะมีเวลาช่วงหนึ่งที่มืดมิดที่สุด
บัดนี้ กำไลได้เห็นช่วงเวลานั้นแล้ว....