Kledthai.com

ตะกร้า 0

แผ่นดินของเรา

ISBN: 9786167704364

ผู้แต่ง : แม่อนงค์

ผู้แปล : -

สำนักพิมพ์ : กองทุนมาลัย ชูพินิจ

ปีที่พิมพ์ : 2558

จำนวนหน้า : 424

พร้อมส่ง
ISBN:
9786167704364
ราคาพิเศษ ฿216.00 ราคาปรกติ ฿240.00

ดอกจันทร์กะพ้อร่วงพรู แต่มิได้หล่นลงสู่พื้นดินทีเดียว กลีบสีขาวของมันน้อยๆ และอ่อนนุ่ม ปลิวกระจายตามลมเหมือนฝูงผึ้งแตกรัง ไปตกที่นั่นนิด ที่นี่หน่อย บนพื้นสีเขียวในลำคู เกลื่อนกลาดอยู่รอบโคนต้นอย่างที่เคยหล่นมาแล้วในชีวิตของมัน ต่างแต่วันนี้ไม่มีใครเขาจะเหลียวแล ไม่มีใครเขาจะเอาใจใส่ ไม่มีแม้แต่เด็กจะคอยเก็บไปร้อยเป็นพวงมาลัยเล่น หรือใส่พานบูชาพระ บางกลีบเคราะห์ร้ายปลิวไปตกลงกลางทางเดิน ก็รังแต่จะถูกเหยียบย่ำแหลกเหลวไปใต้ฝ่าเท้าที่โหดร้ายของคนผู้ไม่รู้จักคุณค่าของมัน ทำนองเดียวกับหัวใจอันบริสุทธิ์ของหญิงสาว ถูกขยี้โดยชายผู้ไม่รู้จักค่าของความรัก

ดอกจันทร์กะพ้อร่วงพรู แต่มิได้หล่นลงสู่พื้นดินทีเดียว เกสรเล็กๆแดงเรื่อแกมเหลืองลอยว่อนกระจัดพลัดพรายอยู่ในอากาศที่โปร่งสะอาดหน่อยหนึ่ง เหมือนลวดลายของตาข่ายที่คลุมไตรพระ กลีบและเกสรอาจจะตกลงถูกเหยียบเป็นผุยผงไป โดยผู้คนที่เข้ามาพลุกพล่นอยู่ในบ้านวันนั้น แต่ไม่มีใครเลยจะสามารถเป็นมารทำความชอกช้ำให้แก่กลิ่นหอมหวนยวนใจของมันได้ กลิ่นที่ฟุ้งขจรอยู่ในอากาศซึ่งล่องลอยไปทั่วบริเวณบ้านอย่างที่มันเคยฟุ้งขจรมาแล้วตลอดชีวิต ต่างแต่วันนี้ แม้ในแสงสีแดดอ่อนเหลืองอร่ามของต้นฤดูเหมันต์ซึ่งเต้นอยู่ตามยอดหญ้าในสนาม แม้ในกระแสลมที่โชยพัดมาตามกิ่งพิกุล ซุ้มสนหางสิงห์ ตลอดจนกลุ่มเมฆที่ไหลรินอยู่บนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยกลิ่นของมันหอมหวนยิ่งขึ้น ฉุนขึ้น สุขุมขึ้น รัดรึง ซึ้งใจ กำซาบซ่านไปตามสายโลหิตกลิ่นซึ่งเป็นชีวิตของทุกชีวิตใน “จิระเวสน์” แต่อดีต และชีวิตของ “จิระเวสน์” เองในปัจจุบัน

จันทร์กะพ้อต้นนั้นตั้งอยู่ระหว่างตึกหลังนอกและหลังในซึ่งเชื่อมโดยระเบียงเล็กๆ กิ่งใหญ่ๆ หลายกิ่งมีรอยตัดทิ้งไว้เก่าเพราะไประชายคาด้านหลังตึกหน้าและด้านหน้าของตึกในเข้า ส่วนกิ่งเล็กกิ่งน้อยที่แตกงามขึ้นมาภายหลัง เมื่อสูงพ้นจากชายคาแล้ว ก็แผ่สาขาปกคลุมครึ้มไป โดยมิได้เอาใจใส่ต่อชีวิตและเหตุการณ์ซึ่งผ่านมาแล้วในบ้านนั้น หรือจะผ่านต่อไปในอนาคต ความสนใจอย่างเดียวของมันอยู่ที่การต่อสู้กับกาฝากซึ่งขดอยู่ตามค่าคบและปลายกิ่ง พยายามเกาะกินอาหารที่หล่อเลี้ยงชีวิตของมันจนกว่าจะห่อเหี่ยวแห้งตายไปทีละก้านสองก้าน จนกว่าจะหมดต้น ทำนองเดียวกับชีวิตของบุคคลใน “จิระเวสน์” ซึ่งดับสูญไปทีละคนสองคน จนไม่มีใครเหลืออยู่อีกสำหรับจะดูกาลอวสานของมัน อย่างที่มันได้เป็นพยานกาลอวสานของบุคคลเหล่านั้น

จันทร์กะพ้อต้นนี้มีอายุมาช้านานเท่าใดแล้ว ไม่มีใครจำได้ สิ่งเดียวที่ทุกคนใน “จิระเวสน์” จะบอกได้ก็แต่ว่า เกิดมาพอจำความได้มันก็อยู่ที่นั่น เชียวชอุ่มเมื่อต้องฝน ขาวโพลงเมื่อผลิดอก มณฑา จำปีและพิกุลที่เจ้าของบ้านปลูกขึ้นใหม่ในตอนหลังๆ เจริญเติบโตขึ้น ร่วงโรยไปแล้วก็ตายด้วยปลวก ด้วง แมลงหรือตัวหนอน เพราะปราศจากคนดูแล เมื่อเจ้าของเก่าล่วงลับไปแล้ว แต่จันทร์กะพ้อต้นนี้ยังมีชีวิตอยู่ต่อมา แม้ว่าหมากเขียวหมากเหลืองที่หน้าหอนั่งจะไม่มีเหลือ พุทธรักษา ชบา ยี่สุ่นและยี่โถที่มุ่มรั้วจะวอดวาย กุหลาบ เฟิร์นทอง และพันธุ์ไม้เถารอบศาลาพักร้อนภายใต้ต้นกระท้อนหลังบ้านจะตายเหลี้ยง

ความจริงนั้น ไม่มีอะไรเลยใน “จิระเวสน์” จะคงอยู่ในรูปเดิมของมัน กำแพงบ้านสีเทาซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเครื่องหมายความใหญ่โตรโหฐานของทุกสิ่งและทุกคนภายใน พังทลายลงเป็นแห่งๆ ด้วยกาลเวลา สนามหญ้าซึ่งเคยเขียวขจีเหมือนปูด้วยพรมธรรมชาติ แตกระแหง แห้งเกราะเต็มไปด้วยหลุมและบ่อ กอเข็มตาสี่มุมของมันหายไป แต่จันทร์กะพ้อต้นเดียวยังไม่ตาย เหมือนกฎธรรมดาจะบังคับไว้ว่า มันเกิดมาสำหรับจะอยู่มิใช่เพียงเพื่อดูการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของทุกคนที่เกิดมาใน “จิระเวสน์” อย่างเดียว หากอยู่เพื่อดูวาระสุดท้ายของ “จิระเวสน์” ด้วย และแล้วมันเองก็คงจะตายไปในวันหนึ่งข้างหน้า และถ้ามันมีชีวิตจริงใจ คิดได้ จำได้เหมือนมนุษย์ มันก็คงจะตายไปด้วยความทรงจำรำลึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ บุคคลต่างๆ ที่ผ่านมาในบ้านนั้นทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ทั้งที่เป็นจริงและความเท็จ ทั้งสุขและทุกข์ ทั้งที่เร้นลับหรือเปิดเผย แม้เรื่องที่มนุษย์ไม่มีวันจะล่วงรู้เลย ไม่มีวันจะเข้าใจเลย แต่มันจะยังไม่ตาย จนกว่าจะถึงเวลานั้น

ดอกจันทร์กะพ้อร่วงพรู แต่มิได้หล่นลงสู่พื้นดินทีเดียว กลีบสีขาวของมันน้อยๆ และอ่อนนุ่ม ปลิวกระจายตามลมเหมือนฝูงผึ้งแตกรัง ไปตกที่นั่นนิด ที่นี่หน่อย บนพื้นสีเขียวในลำคู เกลื่อนกลาดอยู่รอบโคนต้นอย่างที่เคยหล่นมาแล้วในชีวิตของมัน ต่างแต่วันนี้ไม่มีใครเขาจะเหลียวแล ไม่มีใครเขาจะเอาใจใส่ ไม่มีแม้แต่เด็กจะคอยเก็บไปร้อยเป็นพวงมาลัยเล่น หรือใส่พานบูชาพระ บางกลีบเคราะห์ร้ายปลิวไปตกลงกลางทางเดิน ก็รังแต่จะถูกเหยียบย่ำแหลกเหลวไปใต้ฝ่าเท้าที่โหดร้ายของคนผู้ไม่รู้จักคุณค่าของมัน ทำนองเดียวกับหัวใจอันบริสุทธิ์ของหญิงสาว ถูกขยี้โดยชายผู้ไม่รู้จักค่าของความรัก

 

ดอกจันทร์กะพ้อร่วงพรู แต่มิได้หล่นลงสู่พื้นดินทีเดียว เกสรเล็กๆแดงเรื่อแกมเหลืองลอยว่อนกระจัดพลัดพรายอยู่ในอากาศที่โปร่งสะอาดหน่อยหนึ่ง เหมือนลวดลายของตาข่ายที่คลุมไตรพระ กลีบและเกสรอาจจะตกลงถูกเหยียบเป็นผุยผงไป โดยผู้คนที่เข้ามาพลุกพล่นอยู่ในบ้านวันนั้น แต่ไม่มีใครเลยจะสามารถเป็นมารทำความชอกช้ำให้แก่กลิ่นหอมหวนยวนใจของมันได้ กลิ่นที่ฟุ้งขจรอยู่ในอากาศซึ่งล่องลอยไปทั่วบริเวณบ้านอย่างที่มันเคยฟุ้งขจรมาแล้วตลอดชีวิต ต่างแต่วันนี้ แม้ในแสงสีแดดอ่อนเหลืองอร่ามของต้นฤดูเหมันต์ซึ่งเต้นอยู่ตามยอดหญ้าในสนาม แม้ในกระแสลมที่โชยพัดมาตามกิ่งพิกุล ซุ้มสนหางสิงห์ ตลอดจนกลุ่มเมฆที่ไหลรินอยู่บนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยกลิ่นของมันหอมหวนยิ่งขึ้น ฉุนขึ้น สุขุมขึ้น รัดรึง ซึ้งใจ กำซาบซ่านไปตามสายโลหิตกลิ่นซึ่งเป็นชีวิตของทุกชีวิตใน “จิระเวสน์” แต่อดีต และชีวิตของ “จิระเวสน์” เองในปัจจุบัน

 

จันทร์กะพ้อต้นนั้นตั้งอยู่ระหว่างตึกหลังนอกและหลังในซึ่งเชื่อมโดยระเบียงเล็กๆ กิ่งใหญ่ๆ หลายกิ่งมีรอยตัดทิ้งไว้เก่าเพราะไประชายคาด้านหลังตึกหน้าและด้านหน้าของตึกในเข้า ส่วนกิ่งเล็กกิ่งน้อยที่แตกงามขึ้นมาภายหลัง เมื่อสูงพ้นจากชายคาแล้ว ก็แผ่สาขาปกคลุมครึ้มไป โดยมิได้เอาใจใส่ต่อชีวิตและเหตุการณ์ซึ่งผ่านมาแล้วในบ้านนั้น หรือจะผ่านต่อไปในอนาคต ความสนใจอย่างเดียวของมันอยู่ที่การต่อสู้กับกาฝากซึ่งขดอยู่ตามค่าคบและปลายกิ่ง พยายามเกาะกินอาหารที่หล่อเลี้ยงชีวิตของมันจนกว่าจะห่อเหี่ยวแห้งตายไปทีละก้านสองก้าน จนกว่าจะหมดต้น ทำนองเดียวกับชีวิตของบุคคลใน “จิระเวสน์” ซึ่งดับสูญไปทีละคนสองคน จนไม่มีใครเหลืออยู่อีกสำหรับจะดูกาลอวสานของมัน อย่างที่มันได้เป็นพยานกาลอวสานของบุคคลเหล่านั้น

 

จันทร์กะพ้อต้นนี้มีอายุมาช้านานเท่าใดแล้ว ไม่มีใครจำได้ สิ่งเดียวที่ทุกคนใน “จิระเวสน์” จะบอกได้ก็แต่ว่า เกิดมาพอจำความได้มันก็อยู่ที่นั่น เชียวชอุ่มเมื่อต้องฝน ขาวโพลงเมื่อผลิดอก มณฑา จำปีและพิกุลที่เจ้าของบ้านปลูกขึ้นใหม่ในตอนหลังๆ เจริญเติบโตขึ้น ร่วงโรยไปแล้วก็ตายด้วยปลวก ด้วง แมลงหรือตัวหนอน เพราะปราศจากคนดูแล เมื่อเจ้าของเก่าล่วงลับไปแล้ว แต่จันทร์กะพ้อต้นนี้ยังมีชีวิตอยู่ต่อมา แม้ว่าหมากเขียวหมากเหลืองที่หน้าหอนั่งจะไม่มีเหลือ พุทธรักษา ชบา ยี่สุ่นและยี่โถที่มุ่มรั้วจะวอดวาย กุหลาบ เฟิร์นทอง และพันธุ์ไม้เถารอบศาลาพักร้อนภายใต้ต้นกระท้อนหลังบ้านจะตายเหลี้ยง

 

ความจริงนั้น ไม่มีอะไรเลยใน “จิระเวสน์” จะคงอยู่ในรูปเดิมของมัน กำแพงบ้านสีเทาซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเครื่องหมายความใหญ่โตรโหฐานของทุกสิ่งและทุกคนภายใน พังทลายลงเป็นแห่งๆ ด้วยกาลเวลา สนามหญ้าซึ่งเคยเขียวขจีเหมือนปูด้วยพรมธรรมชาติ แตกระแหง แห้งเกราะเต็มไปด้วยหลุมและบ่อ กอเข็มตาสี่มุมของมันหายไป แต่จันทร์กะพ้อต้นเดียวยังไม่ตาย เหมือนกฎธรรมดาจะบังคับไว้ว่า มันเกิดมาสำหรับจะอยู่มิใช่เพียงเพื่อดูการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของทุกคนที่เกิดมาใน “จิระเวสน์” อย่างเดียว หากอยู่เพื่อดูวาระสุดท้ายของ “จิระเวสน์” ด้วย และแล้วมันเองก็คงจะตายไปในวันหนึ่งข้างหน้า และถ้ามันมีชีวิตจริงใจ คิดได้ จำได้เหมือนมนุษย์ มันก็คงจะตายไปด้วยความทรงจำรำลึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ บุคคลต่างๆ ที่ผ่านมาในบ้านนั้นทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ทั้งที่เป็นจริงและความเท็จ ทั้งสุขและทุกข์ ทั้งที่เร้นลับหรือเปิดเผย แม้เรื่องที่มนุษย์ไม่มีวันจะล่วงรู้เลย ไม่มีวันจะเข้าใจเลย แต่มันจะยังไม่ตาย จนกว่าจะถึงเวลานั้น

เขียนรีวิวสินค้าของคุณเอง
คุณกำลังรีวิว:แผ่นดินของเรา
คะแนนของคุณ